วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

เมนูสุขภาพจากไหมอีรี่

ปัจจุบัน มีจำนวนประชากรเพิ่มมากขึ้นจึงมีความต้องการอาหารประเภทโปรตีนสูงขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อสุขภาพมากขึ้นจึงเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนะสูง โครงการการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไหมอีรี่ครบวงจร จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกเสริมโปรตีนจากดักแด้ไหม เพื่อเพิ่มระดับของโปรตีน และเป็นการใช้ประโยชน์จากของเหลือจากอุตสาหกรรมการเลี้ยงไหม ซึ่งเป็นส่วนที่เป็นผลพลอยได้จากการเลี้ยงไหม ก่อให้เกิดรายได้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไหม นอกจากนี้ยังเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภคและทำให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำพริกที่มีรสชาติหลากหลายขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าในทางการตลาด แต่การใช้ดักแด้ไหมในปริมาณสูงจะมีผลทำให้ผลิตภัณฑ์น้ำพริกมีคุณภาพต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านประสาทสัมผัสไม่ว่าจะเป็นลักษณะปรากฏ เนื้อสัมผัส รสชาติและกลิ่นรส ดังนั้นจึงต้องศึกษาปริมาณดักแด้ไหมที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ 

น้ำพริกเป็นอาหารพื้นบ้านของไทย ส่วนประกอบของอาหารไทยที่นำมาปรุงร่วมกับการปรุงอาหารประเภทต่างๆ เช่น ผัด ต้มยำ หรือนำไปบริโภคโดยตรงกับเครื่องจิ้ม เช่น ผักสด ผักต้มควบคู่กับอาหารอื่นๆ ดังนั้นน้ำพริกจึงมีความสำคัญกับชีวิตของคนไทย ส่วนประกอบในการปรุงน้ำพริกมีความสำคัญที่มีส่วนชูรสให้น้ำพริกต่างๆ มีรสชาติแตกต่างกันไป การเสริมวัตถุดิบแหล่งโปรตีนจะทำให้น้ำพริกมีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ดังนั้นการนำดักแด้ไหมมาใช้เป็นแหล่งโปรตีนในผลิตภัณฑ์น้ำพริกหรือแทนแหล่งโปรตีนในสูตรเดิมจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการเพิ่มคุณค่าทางอาหารของน้ำพริก
 
คุณค่าทางอาหารของดักแด้ไหมโดยประมาณ


ประกอบด้วยโปรตีน 54 % ไขมัน 26 % องค์ประกอบของไขมันจากดักแด้ไหมจะประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (saturated fatty acid) 32 % ได้แก่ Palmitic acid และ Stearic acid และกรดไขมันไม่อิ่มตัว 67 % ได้แก่ Palmitoleic acid Oleic acid Linoleic acid และ Linolenic acid ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวทั้ง 4 ชนิด เป็นกรดไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Linoleic acid และ Linolenic acid ซึ่งมีอยู่ในดักแด้ประมาณ 28 % เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิตโดยทั่วไป
ดักแด้เพศเมียทุกพันธุ์จะมีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตมากกว่าดักแด้เพศผู้ แต่ดักแด้เพศผู้มีไขมันและเยื่อใยสูงกว่าดักแด้เพศเมีย สำหรับองค์ประกอบของกรดไขมัน ดักแด้เพศเมียมี Linoleic acid และ Linolenic acid มากกว่าดักแด้เพศผู้ นอกจากนั้นดักแด้ไหมยังมีส่วนประกอบของ Phospholipids ชนิดต่าง ๆ และอุดมด้วยวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 ดังนั้นจะเห็นว่าดักแด้ไหมมีทั้งโปรตีน ไขมันและเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าสัตว์หรือปลาบางชนิด (กอบกุล และคณะ, 2545)

ในหนอนไหมอีรี่วัย 3 และวัย 5 มีองค์ประกอบเป็นโปรตีนประมาณ 54 % ไขมัน 9-11 % เยื่อใย 7-8 % และเถ้าอีก 1 % โดยประมาณ ไขมันจากไหมอีรี่เป็น Neutral lipid ถึง 71.85 % และเป็น Phospholipids เพียง 28.15 % มีค่า Hydroperoxide ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต สามารถใช้เป็นอาหารมนุษย์และสัตว์ได้เพราะมีโปรตีนและไขมันสูงมาก (Jintasataporn et al., 2001)

การพัฒนาสูตรน้ำพริกที่เสริมดักแด้ไหมอีรี่เป็นแหล่งโปรตีน ในสูตรมาตรฐานจึงทำให้ได้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนะสูงและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคเนื่องจากมีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวในปริมาณมาก สูตรน้ำพริกที่ผ่านการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัสด้วยวิธี 9- Point Hedonic Scale โดยใช้ผู้ทดสอบที่ผ่านการฝึกฝนจำนวน 20 คน มีส่วนประกอบและขั้นตอนการทำดังนี้
 
เมนูน้ำพริกตาแดงและน้ำพริกเผาเพื่อสุขภาพ
ขั้นตอนการผลิตน้ำพริก

1. เตรียมดักแด้ไหม
    1) นำดักแด้ไหมมาล้างน้ำให้สะอาด ทิ้งให้สะเด็ดน้ำแล้วนำไปอบที่ตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 15 นาที

   2) นำมาทอดในน้ำมันเดือดที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที จากนั้นลดอุณหภูมิลงให้คงที่ ที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที นำขึ้นทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

   3) นำดักแด้ไหมทอดปั่นด้วยความเร็วเบอร์ 1 นาน 5 วินาที

2. เตรียมพริกขี้หนูแห้ง
นำพริกขี้หนูแห้งมาคั่วให้หอม แล้วปั่นด้วยความเร็วเบอร์ 1 นาน 30 วินาที

3. เตรียมหอมแดง-กระเทียม
ซอยหอมแดงและกระเทียมที่ปอกเปลือกแล้วมาคั่วให้หอม แล้วนำมาปั่นรวมกันด้วยความเร็วเบอร์ 1 นาน 20 วินาที

4. เตรียมกะปิ (เฉพาะน้ำพริกตาแดง) นำกะปิเผาให้หอมพอเหมาะ

5. นำเครื่องที่เตรียมไว้ลงผัดในกะทะที่อุณหภูมิ 100 ºC นาน 20 นาที และเติมเครื่องปรุงรสที่เตรียมไว้
 



ผู้วิจัยได้ถ่ายทอดวิธีการทำผลิตภัณฑ์น้ำพริกที่ได้พัฒนาขึ้นให้กลุ่มแม่บ้านตำบลป่าก่อ อำเภอชานุมาน จังหวัดอำนาจเจริญ และจำหน่ายน้ำพริกทั้ง 2 สูตรในงานกาชาด จังหวัดอำนาจเจริญ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากโดยเฉพาะน้ำพริกเผา จึงได้ศึกษาอายุการเก็บรักษาและคุณค่าทางอาหาร ของน้ำพริกเผาเสริมดักแด้ไหม เพื่อให้สามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์

น้ำพริกเผาสุขภาพสูตรที่พัฒนาเมื่อนำมาวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่ามีโปรตีน 8.68% ไขมัน 14.64% เยื่อใย 3.05% เถ้า 1.12% คาร์โบไฮเดรต 27.99% และพลังงาน 274.44 กิโลแคลอรี ส่วนค่าสีของน้ำพริกในระบบ CIEL*a*b* มีค่าความสว่าง (L*) = 56.86 ค่าสีแดง (a*) = + 5.50 และค่าสีเหลือง (b*) = + 26.83 ค่าความเป็นกรด – ด่างเท่ากับ 4.12

น้ำพริกเผาที่บรรจุในขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อสามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้นาน 6 สัปดาห์ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำพริก (มอก. 1176-2536) (สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม, 2536) โดยเมื่อเก็บรักษาไว้ 6 สัปดาห์ พบว่าน้ำพริกเผามีค่า aw เท่ากับ 0.87 ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดเท่ากับ 2x103 cfu/g ยีสต์และราเท่ากับ 1 cfu/g และอะฟลาทอกซินบี1 3.34 ppb ส่วนสีของน้ำพริกเผาพบว่ามีสีเข้มขึ้นเมื่อเก็บรักษาไว้นานขึ้น โดยน้ำพริกเผาที่เก็บรักษาไว้ 6 สัปดาห์นั้นมีค่าความสว่าง (L*) = 56.01 ค่าสีแดง (a*) = + 4.95 และค่าสีเหลือง (b*) = + 26.46 แต่อย่างไรก็ตามน้ำพริกเผาเสริมดักแดไหมอีรี่มีกลิ่นเหม็นหืนของไขมันมากกว่าน้ำพริกเผาสูตรที่ไม่ได้ใช้ดักแด้ไหมอีรี่ ในการประเมินทางประสาทสัมผัสผู้ทดสอบชิมสามารถระบุถึงการเปลี่ยนแปลงด้านกลิ่นในระหว่างการเก็บรักษาไว้ว่ากลิ่นเหม็นหืนที่เกิดขึ้นเป็นกลิ่นเหม็นหืนของไขมัน เนื่องจากน้ำพริกเผาสูตรเสริมโปรตีนมีการเติมดักแด้ไหมอีรี่ในสูตรมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบในดักแด้ไหมในปริมาณมาก ดังที่กล่าวในข้างต้น จึงส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมันค่อนข้างเด่นชัดเมื่อทำการเก็บรักษา ซึ่งผลของปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันทำให้เกิดสารที่ระเหยง่ายโดยเฉพาะพวกอัลดิไฮด์ บางตัวที่ได้กลิ่นรส “Fatty” หรือ “Oily”
 

 
ในการทำน้ำพริกสูตรนี้เพื่อบริโภค ควรทำในปริมาณน้อยเพื่อให้สามารถบริโภคได้หมดโดยเร็ว ในขณะที่ยังมีคุณค่าทางอาหารสูง ส่วนการผลิตเพื่อจำหน่ายควรบรรจุในภาชนะที่สะอาด ปลอดเชื้อ และติดสลากบอกวันที่ผลิตและวันที่หมดอายุของผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน เพื่อสุขภาพของผู้บริโภค
 
 
เอกสารอ้างอิง
กอบกุล แสนนามวงษ์, สาน วิไล และคณะ. 2545. โครงการวิจัยและพัฒนาวิธีการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือใช้จากไหม. กลุ่มวิจัยหม่อนไหม สถาบันวิจัยหม่อนไหม กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. น. 3-8.
Jintasataporn, O.,Tabthipwon, P.and Ohshima, Y.2001. Chemical position, lipid class and fatty acid composition of eri silkworm Philosamia ricini Boisd. Proceeding of the JSPS 70th International commemorative symposium. October 2001. York. Pp. 111-196.
ทศพรพรรณ รัตนภักดี. 2546. การผลิตและอายุการเก็บรักษาน้ำกะทิดัดแปลงไขมันพาสเจอไรซ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. 2536. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมน้ำพริก. (มอก.1176-2536)
 

 

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการบำรุงผิวหน้าด้วยผลไม้

 
 
 
 
ขอแนะเคล็ดลับวิธีการบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรธรรมชาติจากผลไม้มาบอก...
เริ่มจาก นำมะละกอสุกบดละเอียดประมาณ 2 ช้อนชา พอกหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำวันละครั้ง ผิวหน้าจะเนียนขึ้นและช่วยลดริ้วร้อย

โลชั่นน้ำผลไม้ นำน้ำแตงกวา น้ำมะเขือเทศ น้ำมะนาว และน้ำแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน จากนั้นใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆให้ทั่วใบหน้า เพื่อช่วยสมานผิวและกระชับรูขุมขนแทนการใช้โทนเนอร์

มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อนๆ ประมาณครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงเช็ดออกแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ผิวหน้าเนียนนุ่มขึ้น วิธีนี้ยังช่วยกำจัดสิวหัวดำอีกด้วย

สุดท้าย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม ใช้เปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผล ล้างให้สะอาดแล้ว หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทน โลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละออง ที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้า ด้วย โลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถเก็บใส่ขวดแช่ในตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้

อยากผิวสวยสดใส ลองทำตามวิธีที่แนะนำดูได้.

ขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ

 น้ำผึ้ง ใคร ๆ ก็รู้จักแถมยังดีต่อ สุขภาพ น่ารับประทานอีกด้วย น้ำผึ้งมีสารอาหารสำคัญ ๆ ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ  โปรตีน  วิตามินบี1 บี2 บี 5 และ บี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน
          น้ำผึ้ง มีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุง สุขภาพ ร่างกาย ให้กระปรี้กระเปร่า  แข็งแรง  สดชื่น  เพิ่มพลัง  แก้เบื่ออาหาร  บำรุงหัวใจ  บำรุงข้อต่าง ๆ  ช่วยให้นอนหลับสบาย
          น้ำผึ้ง  จัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่สุดที่น่าสนใจ  หมั่นรับประทานเป็นประจำทุก ๆ สัปดาห์ก็จะช่วย บำรุงร่างกาย ให้มี สุขภาพดี อย่างที่คุณพิสูจน์ได้ เมื่อมีแต่ข้อดี แถมยังอร่อย ว่าง ๆ ก็ลองหามารัปประทานกันดูนะ เพื่อ สุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรง

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

บิดาแห่งโสตทัศนศึกษา

โจฮันน์ อะมอส คอมินิอุส (Johannes Amos Comenius ค.ศ.1592-1670) เป็นผู้ที่พยายามใช้วัตถุ สิ่งของช่วยในการสอนอย่างจริงจัง จนได้รับเกียรติว่าเป็นบิดาแห่งโสตทัศนศึกษา คอมินิอุสได้แต่งหนังสือสำคัญ ๆ ไว้มากมาย ที่สำคัญยิ่งคือ หนังสือ Obis Sensualium Pictus หรือ "โลกในรูปภาพ" ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ.1685 เป็นหนังสือที่ใช้รูปภาพประกอบบทเรียน ถึง 150 ภาพ ซึ่งนับว่าเป็นการใช้ทัศนวัสดุประกอบการเรียนเป็นครั้งแรก

ที่มา http://learners.in.th/blog/subhapit/73387?class=yuimenuitemlabel

กลิ่นปาก หรือ ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น


กลิ่นปากที่ไม่พึ่งประสงค์กันดีกว่า เพื่อป้องกันและจะได้สังเกตความผิดปกติของร่างกายได้ เริ่มกันเลยนะค่ะ
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น หรือภาษาอังกฤษที่ว่า bad breath, halitosis, fetor oris or fetor ex ore หมายถึง กลิ่นเหม็นที่ออกมาจากลมหายใจซึ่งสามารถได้กลิ่น ไม่รวมถึงก๊าซในความเข้มข้นมากกว่าปกติที่ไม่สามารถได้กลิ่น
ปัญหาเรื่องลมหายใจมีกลิ่นเหม็นนั้น ดำรงอยู่คู่กับมนุษย์มานานเป็นพันปี ซึ่งพบได้จากหนังสือต่าง ๆ แม้แต่พระคริสตธรรมคัมภีร์ก็ได้กล่าวถึง ladanum (mastic) ซึ่งได้มาจากต้น Pistacia lentiscus โดยคนที่อาศัยอยู่ในแถบประเทศเมดิเตอเรเนียน ได้ใช้ในการทำให้ลมหายใจสดชื่นมานานนับพันปี
ระบาดวิทยา
ไม่มีใครทราบถึงระบาดวิทยาที่แน่นอน ซึ่งถ้าต้องการศึกษาจริง ๆ จำเป็นต้องศึกษาในคนที่เพิ่งตื่นนอน เนื่องจากลมหายใจจะมีกลิ่นเหม็นมากที่สุดขณะที่ตื่นนอน คนส่วนใหญ่จะต้องประสบกับปัญหาลมหายใจมีกลิ่นเหม็นอย่างน้อยครั้งหนึ่งใน ชีวิต
เนื่องจากการที่จะประเมินกลิ่นลมหายใจของตนเองนั้น ทำได้ยาก ดังนั้นจึงทำให้คนจำนวนมากไม่ทราบว่าตนมีกลิ่นลมหายใจผิดปกติ และก็มีคนอีกจำนวนมากที่มีกลิ่นลมหายใจปกติ หรือเหม็นเพียงเล็กน้อย แต่ว่าวิตกกังวลอย่างมาก คิดว่าตนมีกลิ่นลมหายใจเหม็น ซึ่งเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Halitophobics
ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นสามารถพบได้ในเด็กอายุน้อยตั้งแต่ 2-3 ปี ผู้หญิงมักจะประเมินว่าตนเองมีกลิ่นปากเหม็นมากกว่าผู้ชาย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วผู้ชายมีลมหายใจกลิ่นเหม็นกว่าผู้หญิง
สาเหตุและพยาธิกำเนิดของลมหายใจมีกลิ่นเหม็น1. จากช่องปาก (Oral Cavity) – กลิ่นปาก
2. โพรงจมูก (Nasal passages)
3. ต่อมทอนซิล (Tonsils)
4. อื่น ๆ (Others)
อาทิเช่น จากการติดเชื้อที่หลอดลม และปอด ไตวาย ตับวาย โรคมะเร็งต่าง ๆ โรคทางเมตาบอลิก ซึ่งโรคเหล่านี้พบได้น้อยมากในผู้ป่วยที่เดินเข้ามารักษาที่โรงพยาบาล
ตัวอย่างที่สำคัญได้แก่ โรคเบาหวาน ซึ่งมีกลิ่นลมหายใจเหม็นจากสารคีโตน พบเฉพาะในคนที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี และจะไม่มีใครคนที่ระดับน้ำตาลคุมได้ดี
ภาวะลมหายใจมีกลิ่นเหม็นนี้แทบจะไม่พบว่ามาจากหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร หรือ ลำไส้เลย เนื่องจากหลอดอาหารในภาวะปกติจะแฟบ อาจจะมีกลิ่นได้ในขณะที่เรอแต่ว่าจะไม่มีกลิ่นเป็นเวลานาน ๆ ดังนั้นการส่องกล้องดูกระเพาอาหาร (gastroscope) จึงไม่ควรทำในคนไข้ที่มีปัญหาเพียงแค่กลิ่นลมหายใจเหม็น
ในผู้ป่วยบางคนพยายามที่จะดับกลิ่นปากของตนเอง โดยการสูบบุหรี่ซึ่งกลับทำให้มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์จากบุหรี่เองโดยกลิ่น จากการสูบบุหรี่นี้จะยังคงออกมาจากลมหายใจแม้ว่าจะหยุดไปแล้วมากกว่าหนึ่ง วันรวมถึงคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ว่าอยู่ใกล้กับผู้ที่สูบบุหรี่ด้วย
ผู้ ป่วยที่มีปัญหาปากแห้ง (xerostomia) จะมีปัญหากลิ่นปากขณะที่ปากแห้ง ซึ่งคาดว่าจะเกิดจากภาวะเป็นกรด หรืออาจจะส่งผลต่อเชื้อโรคที่อาศัยในช่องปาก
การรักษาหรือวิธีลดกลิ่นปาก
ในผู้ป่วยที่ทราบสาเหตุ ควรจะรักษาตามสาเหตุ ส่วนผู้ที่ไม่พบสาเหตุ หรือไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ก็สามารถบรรเทาได้โดยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1. อย่าปล่อยให้ปากแห้งเพราะเมื่อปากแห้งความเข้มข้น
ของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมากทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
2. ดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
3. แปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และอย่าลืมแปรงด้านบนของลิ้น

อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย
4.ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2-3 ครั้ง
5. ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปาก
6. เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
7. เคี้ยวใบผักชีฝรั่งหรือกานพลูหลังมื้ออาหาร
8. งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม, หอมใหญ่, พริกไทย และชีส
9. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก
10. กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม
11.เลิกสูบบุหรี่
12.ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ
เวลาที่จะทำการบ้วนปากด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่ดีที่สุด คือ ช่วงเวลาก่อนนอน เนื่องจากจะทำให้น้ำยาทำความสะอาดตกค้างในปากได้นาน และออกฤทธิ์ได้นาน รวมถึง ขณะที่นอนหลับนั้น กลิ่นปากหรือกลิ่นลมหายใจจะเหม็นที่สุด เนื่องจากไม่มีการหลั่งน้ำลาย และจุลชีพทำงานได้ดีที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : followhissteps.com

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

Picasa คืออะไร?

คือโปรแกรมสำหรับตกแต่งรูปที่มีการใช้งานที่ง่ายมากๆ ซึงเป็นอีก 1ผลงานดีๆที่ทาง Google ได้จัดทำขึ้นมา รวมไปถึงความสามารถทางด้านอื่นๆอีกเพียบ

ความสามารถพิเศษของ Picasa
- ค้นหาและเปิดดูภาพสุดสวยของเราได้อย่างรวดเร็วทันใจ และสามารถรองรับไฟล์ภาพได้หลากหลายนามสกุล เช่น JPEG, GIF, BMP หรือ PSD
- ค้นหาและเปิดดูคลิปไฟล์ภาพยนต์ของเราได้ง่ายๆ ทั้งไฟล์สกุล WMV ,AVI ,MPEG หรือ AFS
- โอนไฟล์ภาพจาก กล้องดิจิตอล และ สแกนเนอร์ ได้ทันที
- มีเครื่องมือตกแต่งและจัดภาพให้สวยงามได้แสนง่ายไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้มาก
- สั่งพิมพ์ภาพได้หลายขนาดและมุมมอง
- อีเมล์ส่งภาพสวยๆ ที่ต้องการไปหาเพื่อนได้ทันที
- จัดทำ Album CD Gift set ไว้แจกเพื่อนๆ ได้

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ่งต้องห้ามหลังมื้ออาหาร

อาหารนับเป็นสิ่งที่สำคัญของมนุษน แต่คุณรู้ไหมว่าหลังจากที่คุณกินอาหารแต่ละมื้อไปแล้วนั้น มีสิ่งต้องห้ามทำหลังมื้อ จะเป็นอัตรายต่อร่างกาย และที่สำคัญ ข้อห้ามพวกนั้นเรามักจะทำบ่อยด้วยสิ วันนี้เลยมานำมาเสนอข้อห้ามหลังมืออาหารหลัง

1. ห้ามสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่หลังอาหารนับเป็ฯสิ่งที่โปรดปรานของเหล่าสิงอมควัน แต่ผลการทดสอบที่พิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญพบว่าการสูบบุหรี่หลังรับประทานอาหารเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ ถึง 10 ม้วนหรือมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงกว่า 10 เท่าเลยทีเดียว)

2. ห้ามทานผลไม้ทันที หลังอาหารทุกมื้อห้ามทานผลไม้ทันทีหลัง เพราะจะทำให้เกิดลมในกระเพาะอาหารได้ ดังนั้นควรทานผลไม้หลังทานอาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมงหรือก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง

3. ห้ามดื่มชา เพราะสาระเคมีในน้ำชาจะทำปฏิกิริยาให้การย่อยสารโปรตีนในอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นเป็นไปยากขึ้น

4. ห้ามคลายเข็มขัด เพราะการคลายเข็มขัดหลังมื้ออาหารจะทำให้ลำไส้บิดตัวและอุดตันได้

5. ห้ามอาบน้ำ การอาบน้ำจะเพิ่มแรงดันเลือดไปสู่ มือแขนขาและทั่วตัว ดังนั้นจำนวนเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงกระเพาะอาหารจึงลดลงซึ่งส่งผลให้ระบบการ ย่อยอาหารของกระเพาะเราแย่ลง

6. ห้ามเดินไปมา ผู้คนมักบอกเสมอว่าการเดิน 100 ก้าวหลังรับประทานอาหารจะทำให้อายุยืนถึง 99 ปี ตามข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่เลย การเดินจะส่งผลให้ระบบย่อยของเราไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่เราทานเข้าสู่ ร่างกายได้

7. ห้ามหลับทันที เพราะอาหารที่เราทานเข้าไปจะไม่สามารถย่อยได้เลย ดังนั้นจะทำให้เกิดเชื้อโรคหรือเกิดลมในกระเพาะและลำไส้ของเราได้
เมื่อทราบกันอย่างนี้แล้วต่อไปเราก็ควรที่จะหลีกเลี้ยงข้อห้ามเหล่านี้กันนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

น้ำอบไทย

ในสังคมไทยสมัยโบราณ การใช้เครื่องหอมได้สอดแทรกอยู่ในประเพณีต่างๆ ควบคู่กับการดำเนินชีวิต เช่น ประเพณีการโกนผมไฟ พิธีสรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ ตลอดถึงการรดน้ำศพ เครื่องหอมมีหลายชนิด เช่น น้ำอบ น้ำปรุง สีผึ้ง แป้งร่ำ ดินสอพอง ฯลฯ แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ น้ำอบ ใช้เป็นเครื่องประทินผิว หลักฐานการใช้น้ำอบไทยหรือเครื่องหอมแบบไทยมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และต่อเนื่องมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยรัตนโกสินทร์ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.2) ทรงโปรดปราณการใช้น้ำอบ น้ำปรุงมาก คงจะเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นถึงความนิยมในการใช้เครื่องประทินผิวของคนในสมัยนั้น ความนิยมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมไทยสมัยก่อน มักจะออกมาจากในพระราชสำนัก สู่สามัญชน การใช้เครื่องหอมก็เช่นเดียวกัน
“น้ำอบ” เป็นคำที่เรียกใช้เครื่องหอมที่เป็นน้ำ สมัยก่อน การทำน้ำอบจะใช้ดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอม เช่น ดอกมะลิ ดอกแก้ว ดอกชมนาด ฯลฯ เนื้อไม้ ยางไม้ เช่น ผิวมะกรูด แก่นไม้จันทร์ เปลือกชลูด โดยนำมาอบ ร่ำ ในน้ำให้มีกลิ่นหอมเย็นเป็นธรรมชาติ ซึ่งการทำน้ำอบแบบนี้ เป็นการทำในปริมาณไม่มากนัก ทำใช้กันในครัวเรื่อน และจะทำใช้กันวันต่อวัน เพราะถ้าทิ้งไว้นาน กลิ่นของดอกไม้สดจะเปลี่ยน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการนำเอาหัวน้ำหอมจากต่างประเทศเข้ามาประยุกต์ใช้กับเครื่องหอมโบราณของไทย ทำให้เกิดลักษณะของการทำน้ำอบเป็น 2 อย่าง คือ น้ำอบไทย กับน้ำอบฝรั่ง ทำให้ค่านิยมของการใช้น้ำอบไทยลดลง
“น้ำอบไทย” คือน้ำที่อบด้วยควันกำยาน หรือเทียนอบ (ทำจากผิวมะกรูด กำยาน น้ำตาลแดง ขี้ผึ้ง และจันทร์เทศ) และน้ำมาปรุงด้วยเครื่องหอม มีสักษระเป็น น้ำใสสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากน้ำหอม หรือน้ำอบฝรั่ง ทั้งลักษณะของกลิ่นและขบวนการผลิต ปัจจุบันความนิยมของคนรุ่นใหม่ต่อน้ำอบไทยในลักษณะของเครื่องประทินผิวหรือเครื่องสำอางลดน้อยลงมาก แต่น้ำอบไทยก็ยังเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับสังคมไทย เพราะจะนำไปใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส งานสงกรานต์ งานขึ้นปีใหม่ สรงน้ำพระ การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และใช้ในงานศพ เป็นต้น ซึ่งการใช้น้ำอบไทยในงานประเพณีต่างๆ เป็นเครื่องแสดงถึงการสืบทอดวัฒนธรรมและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสังคมไทย

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

ความเป็นมาของวันสงกรานต์

ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์ถูกกำหนดตามการคำนวณโดยหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ โดยวันแรกของเทศกาลซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ (ย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ) เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) อย่างไรก็ตาม ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ
         สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
         การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

กินหอมแดงป้องกันโรคหัวใจ

นักวิจัยมหาวิทยาลัยในฮ่องกง พบประโยชน์ของหอมแดง ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหาร ทั้งในเอเชีย และเมดิเตอร์เรเนียนว่า ช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ โดยช่วยกำจัดไขมันเลว ซึ่งเป็นตัวการทำให้หัวใจวายและอัมพฤกษ์ อัมพาตออกจากร่างกาย และรักษาไขมันดีไว้ เป็นการป้องกันโรคหัวใจ
หัวหน้าคณะนักวิจัย เชิน ยู เชน กล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการวิจัยหัวหอมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังคงไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับยีนของมนุษย์ และมีบทบาทเกี่ยวกับการเผาผลาญอาหารในร่างกายอย่างไร การศึกษาครั้งนี้นับเป็นการศึกษาความเกี่ยวพันของหอมแดงกับหน้าที่ทาง ชีววิทยาหนแรก”
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษา โดยการป้อนหนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่มีคอเลสเทอรอลสูง แล้วให้กินหอมแดงที่ทุบแล้ว พบว่าหลังจากทำมา 2 เดือน ระดับคอเลสเทอรอลเลวลดลงโดยเฉพาะร้อยละ 20 โดยที่ระดับคอเลสเทอรอลดีไม่เปลี่ยนแปลง
หัวหน้านักวิจัยกล่าวในที่สุดว่า “ผลของการศึกษาได้สนับสนุนข้ออ้างที่ว่า การกินหัวหอมประจำจะช่วยลดอันตรายของโรคหัวใจชนิดเส้นเลือดมาเลี้ยงหัวใจอุดตันได้”
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

มารู้จักนมเปรี้ยวกันเถอะ

นมเปรี้ยว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมที่มีการติดเชื้อจุลินทรีย์ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เชื้อแลกโตบาซิลลัส ที่ช่วยในการย่อยอาหารและผลิตวิตามินเค และทำให้เกิดการหมักตัวมีความเปรี้ยวขึ้น น้ำนมที่นำมาใช้ทำนมเปรี้ยวมีทั้งเป็นน้ำนมสด และนมที่ได้สกัดเอามันเนยออกแล้ว อาจมีการเติมสี กลิ่น รสชาติ เช่น เติมผลไม้เชื่อมหรือเติมรสส้ม องุ่น ลิ้นจี่ ฯลฯ
ประเภทของนมเปรี้ยว นมเปรี้ยวที่วางขายในท้องตลาดมีหลายชนิดสามารถแบ่งได้ ดังนี้
นมเปรี้ยวชนิดผง ดัดแปลงมาจากน้ำนมวัวธรรมดา และคงคุณค่าของสารอาหารในน้ำนมได้ ทั้งด้านโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ แต่ผ่านกระบวนการหมักจนเกิดกรดที่มีรสเปรี้ยวเสียก่อน จึงนำมาทำให้แห้งเป็นผง นมเปรี้ยวชนิดนี้ใช้สำหรับเด็ก โดยใช้เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโรคระบบทางเดินอาหารของเด็ก
นมเปรี้ยวที่เป็นของเหลว มักจะทำมาจากนมขาดมันเนย และมีการเติมน้ำตาลลงไป เพื่อให้เชื้อจุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ดี เชื้อจุลินทรีย์ ที่ใช้มักจะเป็นแลกโตบาซิลลัส แล้วปล่อยให้เกิดการหมักและย่อยนมบางส่วน จนกระทั่งมีรสเปรี้ยวจึงนำออกมาจำหน่าย
นมเปรี้ยวเทียม คือ น้ำนมที่นำมาเติมกรดแลคติกหรือกรดอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดรสเปรี้ยว โดยไม่ผ่านการหมักหรือเติมจุลินทรียใดๆ แล้วปรุงแต่งสี กลิ่น รส แล้วนำออกมาจำหน่าย ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บในที่เย็น และสามารถเก็บได้นานกว่านมเปรี้ยวธรรมดา
โยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวที่มีลักษณะกึ่งแข็ง กึ่งเหลว ทำโดยการเติมเชื้อจุลินทรีย์ หรือเชิ้อราบางชนิดตามธรรมชาติ ที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกายลงไปในนมและทิ้งไว้ให้เกิดการหมัก และเกิดรสเปรี้ยว
สารอาหารที่ได้รับจากการบริโภคนม เปรี้ยวจะแตกต่างกันออกไปตามนมที่นำมาใช้ในการทำ โดยแยกตามปริมาณของไขมัน มี 3 ระดับ คือ นมเปรี้ยวที่มีไขมันสูง จะมีไขมันประมาณ 3% ขึ้นไป นมเปรี้ยวไขมันต่ำจะมีไขมันปริมาณ 1.5-3% และ ชนิดที่มีไขมันน้อยมากนอกจากนี้จะมีปริมาณโปรตีนประมาณ 12-18% ส่วนปริมาณคาร์โบไฮเดรตจะมีมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่งรส และมีปริมาณเหล็กและทองแดงต่ำมาก คุณค่าทางโภชนาการของนมเปรี้ยว จึงขึ้นอยู่กับชนิดของนมที่นำมาใช้และปรุงแต่งลงไป ถ้าทำมาจากนมสดคุณค่า จะเท่ากับนมสด ถ้าทำมาจากหางนมที่ได้สกัดไขมันออกจะมีคุณค่าทางโภชนาการน้อยลงไป จึงไม่ควรรับประทานนมเปรี้ยวเป็นอาหารหลัก

แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 88 ตุลาคม 2550

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของแห้ว



ให้พลังงานสูง เพราะมีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนั้นการบริโภคมากไปก็อาจทำให้อ้วนได้ เพราะแห้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลแล้วสะสมในร่างกายนั่นเอง
นอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ใยอาหารก็มีอยู่มากเช่นกัน ซึ่งใยอาหารนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการขับถ่าย และกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ สุขภาพจึงดี ท้องไม่อืดเฟ้อ และป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้เนื่องจากการตกค้างของอาหารนั่นเอง
แห้วยังมีวิตามิน B และ E สูง จึงป้องกันโรคเหน็บชา และปากนกกระจอกได้ อีกทั้งยังช่วยบำรุงผิวหนังให้มีสุขภาพดี สวยเปล่งปลั่งจึงเหมาะสำหรับสาวๆ อย่างมาก
น้ำที่มีอยู่ในแห้ว จะช่วยเป็นยาขับปัสสาวะได้ดี จึงป้องกันอาการขัดเบา และปัสสาวะลำบากได้ด้วย


ท่านมีความพึงพอใจกับบล็อคนี้มากเพียงใด